รอยแดงและรอยดำจากสิว เกิดจากอะไร? และแตกต่างกันอย่างไร?
สำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแดง รอยดำจากสิว เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง หากอักเสบเป็นระยะเวลานานก็จะยิ่งกระตุ้นให้เม็ดสีผลิตเมลานิน (Melanin) มากขึ้น จนสีผิวไม่สม่ำเสมอ จนกลายเป็นรอยแดง แล้วถ้าหากคุณใช้มือแกะสิวด้วยตัวเองก็จะยิ่งไปทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น แผลเป็นชัดขึ้น จากรอยแดงที่รักษาง่ายก็จะกลายเป็นรอยดำที่เด่นชัดและใช้เวลารักษานาน
ผู้ที่ชอบแกะสิว เกา หรือบีบสิว โดยไม่มีอุปกรณ์ที่สะอาดและไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ มีโอกาสเจอปัญหารอยแดง รอยดำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่ง The One Clinic จะพาไปดูสาเหตุของรอยเหล่านี้เพื่อหาทางป้องกันแต่เนิ่น ๆ
สาเหตุการเกิดรอยแดง
เริ่มกันที่รอยแดงจากสิว (Post Inflammatory Erythema หรือ PIE) เกิดขึ้นจากการอักเสบที่ผิวหนัง เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบ กลไกของร่างกายก็จะเริ่มฟื้นฟูตัวเองโดยการลำเลียงเลือดไปยังบริเวณที่อักเสบ เพื่อรักษาการติดเชื้อและซ่อมแซมบริเวณที่เป็นสิว หลอดเลือดที่อยู่ภายใต้ผิวหนังบริเวณที่เกิดกระบวนการฟื้นฟูก็จะขยายตัว ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดง ชมพู หรือสีม่วง
โดยรอยแดงจากสิวสามารถหายเองได้แต่ใช้เวลาค่อนข้างนาน อาจจะหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน หรือใช้ยาทาภายนอกควบคู่ไปด้วยก็จะทำให้รอยแดงจางลงไวขึ้น
สาเหตุการเกิดรอยดำ
ส่วนรอยดำจากสิว (Post Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) จะเป็นกระบวนการที่ผิวหน้าตอบสนองต่อการอักเสบด้วยการสร้างเมลานินในปริมาณที่มากขึ้น โดยส่วนมากจะพบกับผู้ที่มีสิวอักเสบเป็นระยะเวลานาน ๆ หรือมีสิวอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจจะเกิดจากการแกะสิว บีบสิว หรือ กดสิวผิดวิธี ทำให้การอักเสบยิ่งลุกลาม แน่นอนว่าเมื่อร่างกายผลิตเมลานินมากเกินไปจึงทำให้เกิดรอยสีเข้มบนผิวหนัง อาทิ สีน้ำตาล สีน้ำตาลเข้ม สีเทา และสีดำ
สำหรับปัญหารอยดำจากสิวจะต้องอาศัยกระบวนการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้เวลารักษานานกว่ารอยแดง แต่ก็สามารถทำให้รอยดำจางลงจนหายได้ในที่สุด
การรักษารอยดำ รอยแดง มีวิธีไหนบ้าง?
ปัญหารอยแดง รอยดำ ที่เกิดจากสิวสามารถรักษาได้หลากหลายวิธี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละบุคคล ความรุนแรงของปัญหา รวมทั้งระยะเวลาที่เกิดการอักเสบจนทิ้งร่องรอยเหล่านี้ไว้ The One Clinic ขอแนะนำวิธีการรักษารอยแดง รอยดำ ที่เห็นผลชัดเจน โดยไม่เกิดอันตรายต่อเซลล์ผิวหนังของคุณ พร้อมดูแลทุกขั้นตอนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- Intense pulsed light (IPL) เป็นการรักษาด้วยลำแสงเข้มข้นที่มีความยาวคลื่นแสงในหลายระยะ อ่อนโยนกับผิวหน้ามากกว่าเมื่อเทียบกับแสงเลเซอร์ทั่วไป ทำให้เส้นเลือดหดตัว ช่วยลดรอยแดงลงได้ราว ๆ 40-50% ในครั้งแรกที่รักษา ซึ่งจุดเด่นของ The One Clinic คือ หมอหนึ่งจะรักษาด้วยการทำ IPL ทั่วหน้าซ้ำ 3 ครั้ง พร้อมปรับค่าความยาวคลื่นของลำแสงและล็อกเป้าหมายให้รักษาได้ตรงจุด (สนใจโปรแกรมเลเซอร์รักษารอยแดง)
- เทคนิคการรักษาด้วย Nd:YAG laser เป็นการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ทำให้เข้าถึงชั้นผิวหนังได้ล้ำลึกกว่าเลเซอร์ชนิดอื่น ๆ ช่วยรักษารอยดำที่ฝังลึกให้แลดูจางลง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษารอยดำที่ผิวหนังชั้นบนได้ดี ผิวแข็งแรงและกระจ่างใสขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา (สนใจโปรแกรมเลเซอร์รักษารอยดำ)
- สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรักษาด้วยเลเซอร์ ทาง The One Clinic ก็มีอีกวิธีที่ช่วยรักษาปัญหารอยแดง รอยดำจากสิว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ การฉีด Tranexamic Acid ลงไปที่รอยแดง รอยดำโดยตรง โดยตัวยาจะเข้าไปหยุดยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินได้ จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ใน 3-4 สัปดาห์หลังฉีด
- นอกจากนี้ยังสามารถรักษาด้วยยาทาประเภท Hydroquinone ได้ ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดรอยดำได้ดี สีผิวสม่ำเสมอขึ้น แต่ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการรักษาในปริมาณที่พอเหมาะ
การป้องกันการเกิดรอยดำ รอยแดงจากสิว
แม้จะหลีกเลี่ยงปัญหาสิวไม่ได้ แต่เราสามารถป้องกันปัญหารอยแดงและรอยดำจากสิวได้ด้วยตัวเอง ซึ่งอาจจะเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือแก้ความเข้าใจผิดเรื่องสิว ๆ ให้ถูกต้องเสียก่อน
- หลีกเลี่ยงการกดสิว แกะสิว หรือบีบสิวด้วยตัวเอง เพราะจะยิ่งไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของผิวหนังและเกิดรอยแดง รอยดำ ได้ง่ายขึ้นโดยไม่รู้ตัว
- เมื่อมีสิวก็ควรรีบรักษาสิวโดยเร็ว อย่าปล่อยให้เกิดการอักเสบเป็นระยะเวลานาน ๆ เพราะร่างกายจะสร้างเม็ดสีเมลานินซึ่งเป็นต้นเหตุของรอยแดง รอยดำ บอกเลยว่ารักษายากและใช้เวลานานสุด ๆ
- เลือกใช้สกินแคร์และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยในการรักษารอยแดง รอยดำ และฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรง อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Arbutin และ Niacin หรือ วิตามิน B3 เพราะเป็นสารที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินได้อย่างปลอดภัย ไม่ระคายเคืองผิว รวมทั้งยาทาประเภท Tranexamic Acid ก็สามารถช่วยลดเม็ดสีได้ดีเช่นกัน
- กระตุ้นเซลล์ผิวให้แข็งแรงและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยการทำเลเซอร์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะช่วยทั้งป้องกันและแก้ไขอย่างตรงจุด
คำถามที่พบบ่อย
1.รอยแดง รอยดำ ต้องรักษากี่วันถึงจะหาย?
หากรักษาด้วยวิธีการทายาอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนถึงจะเห็นผลลัพธ์ราวๆ 10-20% เพราะต้องให้เวลาร่างกายผลัดเซลล์ผิวเก่าและสร้างเซลล์ผิวใหม่ แต่ถ้ารักษาด้วยการใช้เลเซอร์ หรือ Intense Pulsed Light (IPL) จะเห็นผลทันทีหลังการรักษา แต่ก็ควรทำเลเซอร์อย่างสม่ำเสมอจนกว่ารอยแดงและรอยดำจะจางลง
2.ทำไมรักษาด้วย Laser แล้ว ยังต้องทายาอีก?
หลังการใช้เลเซอร์ คุณหมอจะจ่ายยาช่วยลดการอักเสบจากเลเซอร์ ทั้งช่วยลดผลข้างเคียงที่อาจจะทำให้เกิดรอยดำซ้ำขึ้นมาได้ รวมทั้งการจ่ายยาที่มีสาร Tranexamic Acid และ Arbutin จะช่วยทำให้ร่างกายลดการผลิตเม็ดสีเมลานินได้เร็วขึ้น
3.รอยแดงกับรอยดำ อันไหนรักษายากกว่ากัน?
รอยดำนั้นรักษาให้หายยากกว่ารอยแดงมาก คุณจึงควรรักษาอาการอักเสบในขณะที่เป็นเพียงรอยแดงให้ดีขึ้นโดยเร็ว เพราะถ้ากลายเป็นรอยดำก็จะใช้เวลารักษานานขึ้น
4.รักษาด้วยเลเซอร์หลายๆ ครั้ง จะทำให้ผิวบางลงไหม?
จริง ๆ แล้วการใช้เลเซอร์ไม่ได้มีผลทำให้ผิวบาง แต่จะทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้นในช่วง 7-14 วัน หลังรับการเลเซอร์ คุณจึงควรทาครีมกันแดด หลีกเลี่ยงการโดนแดดแรง ๆ และใช้สกินแคร์เติมความชุ่มชื้นในช่วงนั้นเป็นพิเศษ
5.รักษารอยแดง รอยดำ โดยไม่ใช้เลเซอร์ได้ไหม?
สามารถทำได้ค่ะ อาจะใช้วิธีการฉีดยาหรือทายา เพื่อลดการอักเสบ ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ก็จะทำให้รอยแดง รอยดำจากสิว จางลง เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลาที่นานขึ้นเพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่
6.รอยแดงและรอยดำจากการกดสิว เกิดจากอะไร?
รอยแดงเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานมากเกินไปทำให้เกิดการอักเสบขึ้น และอาการอักเสบระยะยาวจะกระตุ้นให้ร่างกายของเราสร้างเม็ดสีซึ่งเป็นสาเหตุของรอยดำนั่นเอง
หากคุณมีปัญหารอยแดงหรือรอยดำจากสิว รักษาด้วยตัวเองแล้วไม่ดีขึ้นสักที สามารถปรึกษาคุณหมอหนึ่ง แพทย์เฉพาะทางที่ The One Clinic ได้เลย เราเป็นคลินิกรักษาโรคผิวหนังย่านห้วยขวาง ช่วยดูแลได้ทั้งเรื่องสิว รอยสิว เคล็ดลับหน้าใส รวมทั้งคอร์สรักษาและดูแลผิวพรรณครบวงจร