สิวอักเสบ คืออะไร ?
สิวอักเสบเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นในผิวหนังเมื่อมีการติดเชื้อของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes ในหลุมสิว (hair follicle) ที่มีมันมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อและการติดเชื้อนี้ส่งผลให้เกิดการตอบสนองระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบ สิวอักเสบอาจจะต้องใช้เวลาในการรักษาและฟื้นฟูสภาพผิว แต่หากคุณรู้สาเหตุที่แน่ชัดก็สามารถหาวิธีป้องกันรักษาได้อย่างถูกวิธี
สาเหตุของการเกิดสิวอักเสบ ?
สิวอักเสบเกิดขึ้นในทุกช่วงวัย แต่จะพบมากที่สุดในกลุ่มวัยรุ่น โดยบริเวณที่เกิดสิวอักเสบได้ง่าย คือ ใบหน้าและแผ่นหลัง เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก (Sebacous zone) ทำให้มีน้ำมันส่วนเกิน ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการอุดตันและการอักเสบของผิว เราจึงควรเข้าใจสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ และหาทางป้องกันง่ายๆ ด้วยตัวเองกันค่ะ
- ความผิดปกติของหลุมสิว (Hair Follicle): การเกิดขนใหม่บนใบหน้ามากเกินไปก็เป็นต้นตอของการอุดตันรูขุมขน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน สิ่งสกปรก หรือเชื้อแบคทีเรีย ใบหน้าก็จะเกิดการอักเสบและกลายเป็นสิวอักเสบ
- การติดเชื้อ: แบคทีเรียชื่อ C. acnes หรือ P. acnes ในหลุมสิว จนทำให้เกิดการอักเสบ
- การผลิตน้ำมันมากเกินไป: การที่ผิวผลิตน้ำมันมากเกินไป (Sebum Overproduction) ทำให้อุดตันเซลล์ผิวหนังและเกิดการอักเสบได้ง่าย
- การสร้างเซลล์ผิวหนังมากเกินไป: การที่เซลล์ผิวหนังมีที่ผลิตมากเกินไปจนผิวผลัดออกไม่ทัน (Hyperkeratinization) ทำให้เซลล์ผิวหนังสะสมในหลุมสิวและเป็นแหล่งอาหารให้กับแบคทีเรียบนใบหน้า
- การใช้เครื่องสำอาง และ คอนซีลเลอร์: การใช้สารเคมีบางอย่าง เช่น น้ำมันที่ก่อให้เกิดการอุดตัน น้ำหอม สารพาราเบน และสารอะลูมิเนียม ทำให้สิวถูกกระตุ้นจนเกิดการอักเสบ
- อากาศ สภาพแวดล้อม: ประเทศไทยก็เรียกได้ว่าขึ้นชื่อในการเป็นประเทศร้อนชื้น ดังนั้น Sebacuos gland ก็จะทำการผลิตน้ำมันออกมาเยอะ บวกกับความอบอ้าวทำให้เกิดสิวได้ง่าย นอกจากนี้ปัจจัยที่อาจกระทบต่อผิวหนัง เช่น ใช้คลีนเซอร์ที่มีกรดสูงในการล้างเครื่องสำอาง การใช้แปรงปัดแก้ม การล้างหน้าหรือสครับบ่อยเกินไปก็ทำให้ใบหน้าเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้นเนื่องจากผิวหนังชั้นนอกที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวชั้นใน (Protective layer) อ่อนแอลง
ประเภทของสิวอักเสบ
สิวอักเสบเกิดจากการอักเสบที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งการอักเสบเกิดข้นได้กับสิวหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะของผิวหน้าและความแข็งแรงของผิวในการต้านการอักเสบ
1. สิวอักเสบไม่มีหัว (Inflammation):
สิวอักเสบไม่มีหัวมีลักษณะเป็นจุดแดงๆ ที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อแบคทีเรียในหลุมสิว
2. สิวตุ่มหนอง (Pustule):
เกิดจากการสะสมของเซลล์ที่ติดเชื้อจนเป็นหัวขาวที่ปลายสิว ซึ่งมีสารน้ำหล่อเหลวคล้ายๆ กับหนอง
3. สิวหัวดำ (Blackhead):
พัฒนามาจากสิวหัวขาวที่โดนอากาศและมลภาวะจนเกิดการ Oxidised และกลายเป็นสีดำ
4. สิวหัวแดง (Nodule):
เป็นสิวขนาดใหญ่ที่เกิดการอักเสบ ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นบวมแดงและรู้สึกเจ็บปวด
5. สิวหัวช้าง (Nodulocystic):
สิวหัวช้างเป็นสิวขนาดใหญ่ที่เกิดจากการสะสมของเซลล์และน้ำมันที่อุดตันจนเกิดการอักเสบ ภายในมีหนองและเชื้อแบคทีเรียต่างๆ
ระดับความรุนแรงของสิวอักเสบ
สำหรับระดับความรุนแรงของสิวอักเสบ สามารถแบ่งได้ตาม การวินิจฉัยทางคลินิก (Clinical diagnosis) ได้ดังนี้
- ระดับที่ 1 – สิวโคมิโดน (Comedonal Acne): เป็นสิวที่ไม่อักเสบและไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย มีสิวหัวดำ (Blackheads) และสิวหัวขาว (Whiteheads) มักเกิดบ่อยในบริเวณผิวหน้า
- ระดับที่ 2 – สิวอักเสบเล็กน้อย (Mild Inflammatory Acne): มีการอักเสบเล็กน้อยในรูขุมขน ทำให้เกิดสิวแดง (Nodule) และสิวตุ่มหนอง (Pustules)
- ระดับที่ 3 – สิวอักเสบปานกลาง (Moderate Inflammatory Acne): มีการอักเสบมากขึ้นและมีจำนวนสิวที่มากขึ้น สิวที่เป็นตุ่มๆ ขนาดปานกลาง และอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นก้อนและเป็นสิวที่ทำให้ผิวหนังบวมขึ้น
- ระดับที่ 4 – สิวอักเสบรุนแรง (Severe Inflammatory Acne): มีจำนวนสิวที่มากและรุนแรงมากขึ้น สิวที่เป็น Nodule และ Cyst มักมีขนาดใหญ่และมีการอักเสบที่หนักมาก
- ระดับที่ 5 – สิวอักเสบรุนแรงมาก (Very Severe Inflammatory Acne): เป็นระดับที่รุนแรงมากที่สุด มีจำนวนสิวมากมายที่อักเสบหนักมาก และอาจมีสิวหัวช้าง Nodulocystic ที่ลึกและกระจายไปยังบริเวณอื่นๆ
สิวอักเสบมักเกิดที่บริเวณใด?
ส่วนใหญ่แล้วเราจะพบสิวอักเสบในบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เป็นจุดสะสมสิ่งสกปรก และอุดตันได้ง่าย โดยตำแหน่งที่มักเกิดสิวอักเสบมีดังนี้
- สิวอักเสบที่หน้าผาก
หน้าผากเป็นบริเวณที่เกิดสิวง่าย เพราะเกิดการอุดตันจากมลภาวะ เหงื่อ และไรผม ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวอุดตัน - สิวอักเสบที่คาง
คางเป็นบริเวณที่พบสิวอักเสบมากที่สุดในยุคนี้ เพราะผิวส่วนนั้นเสียดสีกับหน้ากากอนามัยตลอดทั้งวัน จึงเกิดสิวและการอักเสบได้ง่าย - สิวอักเสบที่จมูก
บริเวณจมูกพบสิวได้ทุกชนิด เพราะเป็นส่วนที่เสียดสีกับหน้ากากอนามัยและหมอนเป็นประจำ และมีการอุดตันได้ง่าย ทำให้พบสิวเสี้ยนและสิวอักเสบได้บ่อย - สิวอักเสบที่แก้ม
แก้มเป็นบริเวณที่โดนสัมผัสบ่อย ๆ ทั้งเอามือจับหน้า ใส่หน้ากากอนามัย หรือนอนตะแคงบนหมอน ทำให้สิ่งสกปรกสะสมจนเกิดสิวอุดตันและกลายเป็นสิวอักเสบได้ - สิวอักเสบที่หลัง
หลังก็เป็นบริเวณที่โดนเสียดสีจากเสื้อผ้าทุกวัน และยังเป็นจุดสะสมของคราบเหงื่อ ความอับชื้น และเชื้อโรคต่างๆ ทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ง่าย
วิธีรักษาสิวอักเสบ
การบรรเทาความรุนแรงของสิวอักเสบสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งต้องอาศัยทั้งการดูแลจากภายในและภายนอกควบคู่กันไป เพื่อประสิทธิภาพของการรักษาที่ดีและเห็นผล
- ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี
ควรใช้เจลล้างหน้าที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว เป็นสูตรที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม พาราเบน หรือสารเคมีอื่นๆ ที่ระคายเคืองผิว นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงการถูหน้าแรงๆ บีบสิว กดสิว เพราะทำให้ผิวหน้าอักเสบได้ง่าย - เลือกผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่เหมาะสม
ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid หรือ Benzoyl peroxide เพื่อช่วยลดการอักเสบและควบคุมการติดเชื้อ รวมทั้งการใช้ Retinoids (จาก Vitamin A) เช่น Adapalene หรือ Differin gel เพื่อช่วยลดความมันและลดการผลิตเคราตินที่มากเกินไป - รักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ
ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์เฉพาะทาง เพื่อให้การทานยาฆ่าเชื้อไม่ส่งผลต่อสุขภาพด้านอื่นๆ และอยู่ในปริมาณที่เพียงพอต่อการรักษาสิวอักเสบ - ดูแลสุขภาพองค์รวม
สำหรับใครที่มีปัญหาสิวอักเสบหรือสิวซ้ำซาก ขอแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคู่กับการรักษาวิธีอื่นๆ อาทิ ดื่มน้ำสะอาดให้เยอะขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้ - พบแพทย์ผิวหนัง
หากปัญหาสิวอักเสบรุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม รวมถึงการ ตรวจเชื้อสิว เพื่อหาสาเหตุเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง - รักษาทางคลินิก
สามารถใช้เทคนิคการกดสิว (Comedone extraction) หรือการทำ Intense Pulsed Light (IPL) ระดับ 1-2 เพื่อลดการอักเสบของสิวและเสริมความแข็งแรงให้ชั้นผิว
FAQ
Q : สิวอักเสบรักษาด้วยตัวเองได้ไหม?
A : รักษาเองได้ แต่อาจจะใช้เวลานานเพราะไม่ได้รับการรักษาที่ต้นตอ ถ้าไม่รักษาอย่างถูกต้อง อาจเกิดแผลเป็นหรือหลุมสิว แต่หมอไม่แนะนำให้กดสิวอักเสบเองเพราะเชื้อแบคทีเรียจะกระจายไปยังบริเวณอื่นจนเกิดสิวอักเสบซ้ำซาก
Q : หากเป็นสิวอักเสบ ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเมื่อไหร่?
A : สามารถพบแพทย์ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อให้จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพรวดเร็ว สามารถให้แพทย์ผิวหนังประเมินสภาพผิวก่อนได้ เพื่อที่จะได้รับคำแนะนำการรักษาที่เหมาะสม
Q : สิวอักเสบกี่วันถึงจะหาย?
A : โดยทั่วไป สิวอักเสบจะหายเองตามธรรมชาติราวๆ 6-12 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับขนาดและสภาพผิว แต่ถ้าได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจใช้เวลาเพียง 1-2 สัปดาห์
Q : สิวอักเสบ บีบได้ไหม?
A : หมอหนึ่งไม่แนะนำให้บีบสิวด้วยตัวเอง เพราะว่าสิวอักเสบเกิดจาก P. acnes หากบีบสิวเองอาจทำให้แบคทีเรียกระจายไปตามบริเวณที่กด ทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อน ควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้องและปลอดภัย
วางใจ The One Clinic รักษาสิวอย่างปลอดภัย
The One Clinic คลินิกรักษาปัญหาสิวและผิวหนัง โดย คุณหมอหนึ่ง พร้อมให้คำปรึกษาและรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมกับปัญหาผิวรายบุคคล ครอบคลุมตั้งแต่ปัญหาสิว รอยดำ รอยแดง แผลเป็นจากสิว ฝ้า กระ และผิวเปราะบาง หากต้องการคำแนะนำด้านการรักษาโดยมืออาชีพ สามารถนัดหมายหมอหนึ่งได้ทุกวันค่ะ