“รอยสิว” เป็นปัญหาผิวที่หลายคนเผชิญ อาจเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง ส่งผลให้เกิดจุดด่างดำหรือพื้นผิวไม่เรียบเนียน ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นใจ การดูแลและฟื้นฟูรอยสิวอย่างถูกวิธี ไม่เพียงช่วยให้ร่องรอยจางลง แต่ยังช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน พร้อมลดโอกาสการเกิดซ้ำในอนาคต เพราะสุขภาพผิวที่ดีเริ่มต้นจากการดูแลอย่างเหมาะสม มาเรียนรู้วิธีฟื้นฟูผิวและคืนความมั่นใจให้ตัวเองกับบทความของ The One Clinic
สารบัญ
รอยสิวคืออะไร?
รอยสิว คือ ร่องรอยที่หลงเหลืออยู่บนผิวหนังหลังจากการอักเสบของสิว เกิดจากกระบวนการซ่อมแซมของร่างกายที่ไม่สมบูรณ์หลังสิวหาย การอักเสบที่เกิดขึ้นระหว่างการซ่อมแซมจะส่งผลให้ผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้ เช่น สีผิวไม่สม่ำเสมอ ทิ้งรอยชัด หรือความไม่เรียบเนียนของผิวบริเวณที่เป็นสิว ซึ่งจริง ๆ แล้วผลกระทบจากรอยสิวไม่ได้จำกัดเฉพาะด้านกายภาพ แต่ยังมีผลต่อความมั่นใจในตนเองและภาพลักษณ์ของคุณอีกด้วย
ประเภทของรอยสิวที่พบบ่อย

รอยสิวเป็นปัญหาผิวที่หลายคนต้องเผชิญหลังจากสิวหาย แม้ว่าสิวจะหายไปแล้ว แต่ร่องรอยที่ทิ้งไว้กลับกลายเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคของผิวสวยใส รอยสิวเกิดจากกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติหลังการอักเสบของสิว ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดจุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือแม้แต่รอยแผลเป็นลึกที่ทำให้พื้นผิวไม่เรียบเนียน
รอยสิวมีหลายประเภทและลักษณะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของสิวที่เกิดขึ้น การเข้าใจประเภทของรอยสิวช่วยให้สามารถเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไป รอยสิวสามารถแบ่งออกเป็น:
1. รอยดำจากสิว (Hyperpigmentation)
รอยดำจากสิวเกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินที่เพิ่มขึ้นหลังการอักเสบ ทำให้ผิวบริเวณนั้นคล้ำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ สาเหตุหลักมาจากเซลล์เมลาโนไซต์ที่ผลิตเม็ดสีมากเกินไป ส่งผลให้เกิดรอยดำที่รักษาได้ยากและใช้เวลานานกว่ารอยแดง ส่วนใหญ่เกิดจากรอยแดงที่ไม่ได้รับการดูแลเป็นเวลานาน
2. รอยแดงจากสิว (Erythema)
รอยแดงจากสิวเกิดจากการอักเสบของหลอดเลือดฝอย ซึ่งขยายตัวหลังจากเกิดสิว ทำให้บริเวณที่เคยมีสิวมีสีแดงหรือระคายเคือง รอยแดงสามารถรักษาได้ง่ายกว่ารอยดำ และมักจางลงได้เองเมื่อผิวฟื้นตัวสมบูรณ์
3. รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)
รอยหลุมสิวเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังระหว่างกระบวนการฟื้นฟู มักเกิดจากสิวอักเสบที่รุนแรงซึ่งทำลายคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวเกิดรอยบุ๋มหรือเว้าเป็น หลุมสิว เนื่องจากการซ่อมแซมผิวที่ไม่สมบูรณ์
รอยสิวเกิดจากอะไร?
รอยสิวมักเกิดจากปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อกระบวนการซ่อมแซมผิวและการฟื้นฟูหลังการอักเสบของสิว โดยหมอหนึ่งได้รวบรวมสาเหตุหลัก ๆ ที่พบบ่อยจากคนไข้ของ The One Clinic มาให้แล้ว
สาเหตุของรอยสิว
- การอักเสบของสิว: สิวอักเสบส่งผลต่อการเกิดผิวบวมและระคายเคือง ซึ่งทำให้เกิดรอยดำ ๆ แดง ๆ เมื่อการอักเสบหาย หากรักษาสิวไม่ถูกวิธีก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะเกิดรอยสิว
- แผลเป็นหลังการบีบสิว: การกดหรือบีบสิวไม่ถูกวิธีจะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ผิวหนังและส่งผลให้เกิดแผลเป็นหรือรอยหลุม
- การดูแลผิวไม่ถูกต้อง: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมรุนแรงหรือไม่เหมาะสมกับสภาพผิวอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบซ้ำ ทำให้ปัญหาสิวเกิดขึ้นซ้ำซากและรักษาไม่หายขาด
พฤติกรรมที่ทำให้รอยสิวแย่ลง หายช้า รักษานาน
ต้องยอมรับเลยว่าหลาย ๆ พฤติกรรมของคนในยุคนี้สามารถทำให้รอยสิวลุกลามหรือฟื้นฟูได้ยากขึ้น อาทิ
- ไม่ใช้ครีมกันแดด: การไม่ปกป้องผิวจากแสงแดดอาจทำให้ผิวบอบบาง เกิดสิวง่าย รอยสิวที่มีอยู่ก็คล้ำขึ้น และยืดเวลาในการฟื้นฟูรอยสิวให้นานขึ้นไปอีก
- การแกะหรือบีบสิว: การกดสิวอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ผิวหนังและเพิ่มโอกาสการเกิดแผลเป็น
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดบางชนิดทำให้ผิวยิ่งบอบบาง แพ้ง่าย เกิดสิวขึ้นซ้ำซาก และทำให้รอยสิวรักษายากขึ้น
วิธีรักษารอยสิว ลดจุดด่างดำที่ได้ผล
การใช้ครีมลดรอยสิว
การเลือกครีมลดรอยสิวที่เหมาะสมช่วยลดเลือนรอยสิวได้ โดยสารสำคัญที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่:
- กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid): กรดทรานเอกซามิกช่วยลดรอยดำโดยการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้รอยดำจางลงและผิวกระจ่างใสขึ้น
- ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide): มีคุณสมบัติที่ช่วยลดการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ และทำให้ผิวดูกระจ่างใส
- อาร์บูติน (Arbutin): อาร์บูตินจะเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการสร้างเม็ดสี
- วิตามินซี (Ascorbic Acid): ช่วยในกระบวนการสร้างคอลลาเจนของร่างกายและการสร้างเนื้อเยื่อใหม่
- กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid): ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนชั้นผิวหนังของคุณ ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น
การใช้สมุนไพรธรรมชาติ
สมุนไพรบางชนิดมีคุณสมบัติลดรอยสิว ช่วยปรับผิวให้สว่างใส และยับยั้งการสร้างเม็ดสี เช่น:
- สารสกัดจากชะเอมเทศ (Liquorice): ชะเอมเทศมีคุณสมบัติช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส และลดการเกิดรอยดำจากสิวหรือการบาดเจ็บจากการกำจัดไฝ โดยการยับยั้งการผลิตเม็ดสี (Melanin) และมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้เร็วขึ้นหลังจากการระคายเคือง
- เนื้อมะขาม (Tamarind Pulp): มะขามมีคุณสมบัติเป็นสารบำรุงผิวธรรมชาติและช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำ มีสารอาหารที่ช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นและสมานแผล ทำให้ลดรอยด่างดำจากสิวได้ดี
การรักษาทางการแพทย์
เลเซอร์: ใช้พลังงานเลเซอร์ช่วยลดรอยแดงจากการอักเสบ (Post-Inflammatory Erythema – PIE) และรอยดำหลังสิวหาย (Post-Inflammatory Hyperpigmentation – PIH) โดยเลเซอร์จะปล่อยคลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะเพื่อเจาะลึกลงไปในชั้นผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและผลัดเซลล์ผิวใหม่
- Laser: เลเซอร์ลดรอยดำโดยการปล่อยพลังงานที่มีความยาวคลื่นเฉพาะไปทำลายเม็ดสี melanin ที่ผิดปกติ ทำให้รอยดำจางลง และลดรอยแดงด้วยการลดทำให้เส้นเลือดหัวและลดอาการอักเสบ
- IPL (Intense Pulsed Light): ปล่อยพลังงานแสงเพื่อลดรอยแดงของ PIE และลดเม็ดสี melanin เพื่อลดรอยดำช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอ
- Fractional CO2 Laser: มีประสิทธิภาพในการลดรอยดำ PIH และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
- Fractional RF (Fractional Radiofrequency): ใช้พลังงานคลื่นวิทยุช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยปรับสภาพผิว ลดรอยสิว และปรับสีผิวให้เรียบเนียนขึ้น
- การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): ผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อผิวใหม่ สามารถช่วยลดจุดด่างดำได้
การดูแลผิวหลังการรักษารอยสิว
การดูแลผิวหลังการรักษารอยสิวมีความสำคัญในการฟื้นฟูผิวและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง โดยวิธีที่นิยมจะมีดังนี้:
- การใช้มอยส์เจอไรเซอร์: ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและป้องกันการแห้งลอกของผิว ทำให้ปราการผิวแข็งแรงขึ้น
- การหลีกเลี่ยงแสงแดด: ควรใช้ครีมกันแดด SPF50+++ และหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงเพื่อป้องกันการระคายเคืองและรอยคล้ำ
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์รุนแรง: สารที่รุนแรงสามารถทำร้ายผิวได้ เช่น สครับหรือกรดเข้มข้นที่สามารถทำให้ผิวอักเสบ
- ดื่มน้ำเพียงพอ: เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยให้ผิวฟื้นฟูจากภายใน
วิธีการเลือกครีมลดรอยสิวที่เหมาะสม

การเลือกผลิตภัณฑ์ลดรอยสิวที่เหมาะสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวและลดการระคายเคือง โดยหมอหนึ่งมีเคล็ดลับในการเลือกครีมลดรอบสิวมาแชร์ดังนี้:
1. เลือกจากส่วนผสมสำคัญ
- Niacinamide: ลดการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
- อาร์บูติน (Arbutin): ยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเม็ดสีเมลานิน ช่วยลดเลือนรอยดำจากสิว ทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้นโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเหมือนสารฟอกผิวที่รุนแรง
- เรตินอล (Retinol): ช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยให้รอยสิวจางลงและผิวเรียบเนียนขึ้น
2. เลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิว
- ผิวมัน: ใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบา เช่น เจลหรือเซรั่ม
- ผิวแห้ง: เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารให้ความชุ่มชื้น หรือเนื้อครีมที่มีความเข้มข้นสูง
- ควรทดลองและสังเกตผล โดยการทาลงบนผิวบริเวณเล็ก ๆ ที่ท้องแขนก่อนใช้ เพื่อป้องกันการแพ้หรือระคายเคือง เพราะอาจจะเป็นสาเหตุของปัญหาผิวตามมา
วิธีป้องกันรอยสิว
การป้องกันรอยสิวด้วยตัวเองในชีวิตประจำวันก็สามารถช่วยลดปัญหาในระยะยาวและทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้นได้
- การดูแลผิวหน้าให้สะอาด: ล้างหน้าอย่างถูกวิธีวันละ 2 ครั้ง เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรีย
- หลีกเลี่ยงการบีบสิว: การบีบหรือแกะสิวเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดรอยดำและรอยแผลเป็น
- การใช้ครีมกันแดด: ป้องกันรังสี UV ที่ทำให้รอยสิวชัดขึ้นและผิวเสื่อมสภาพ โดยทาครีมกันแดดทุกวันก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 20 – 30 นาที
รอยสิวใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะจางลง?
สำหรับหลายคนที่สงสัยว่ารอยสิวนั้นรักษาได้ไหม? ซึ่งระยะเวลาที่รอยสิวจะจางลงขึ้นอยู่กับประเภทของรอยและการดูแลผิวของแต่ละบุคคล หากดูแลอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ ก็จะทำให้รอยสิวจางลงและผิวกลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง
รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema หรือ PIE):
เกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดในบริเวณที่อักเสบ มักจางลงได้เองภายในระยะเวลาตั้งแต่เดือนนึงห์ถึงหลายเดือนโดยจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและการดูแลผิว
การรักษา: หากต้องการให้จางลงเร็วขึ้น การรักษาด้วย เลเซอร์หลอดเลือด หรือ IPL สามารถลดระยะเวลาให้เหลือเพียง 4-8 สัปดาห์
รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH):
เกิดจากเม็ดสีเมลานินสะสมในผิว มักจางลงเองใน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับความลึกของเม็ดสี
การรักษา: การใช้ผลิตภัณฑ์ลดเม็ดสี เช่น วิตามินซี หรือการทำ Chemical Peeling อาจช่วยเร่งการฟื้นฟูให้จางลงใน 2-3 เดือน
รักษารอยสิว ที่ The One Clinic

สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องปัญหารอยสิว รอยแดง รอยดำ สามารถปรึกษาหมอหนึ่ง ที่ The One Clinic ได้ทุกวัน แพทย์จะทำการซักถามประวัติและตรวจวินิจฉัยทุกเคสอย่างใส่ใจ เพื่อให้การออกแบบวิธีการรักษานั้นตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาทา ยารับประทาน หรือเครื่องมือคุณภาพสูงที่นำเข้าจากต่างประเทศ
รักษาสิวและรอบสิวด้วยนวัตกรรมคลื่นวิทยุ Acgen (แอกเจน)
Acgen (แอกเจน) เป็นการปล่อยคลื่นวิทยุ หรือ Radiofrequency (RF) เพื่อลดการทำงานของต่อมไขมันใต้ผิวหนังและฆ่าเชื้อ P.Acnes โดยไม่ต้องใช้ยา ช่วยรักษาสิวได้ถึงต้นตอ ผสานพลังเลเซอร์ Lutronic Spectra Gold ซึ่งเป็นเลเซอร์ Q-Switched Nd:YAG มาตรฐาน USFDA สหรัฐอเมริกา ช่วยลดรอยแดงและอาการอักเสบจากสิว ทำให้สิวและรอยหายเร็วขึ้น
Acne Clear Laser รักษาสิว ฆ่าเชื้อสิว ลดความมัน รอยแดงดีขึ้นภายใน 1-2 วัน
คอร์สเลเซอร์สิว 12 ขั้นตอน Acne Clear Laser ตั้งแต่การกดสิว ฉีดสิว ไม่จำกัดมาส์กหน้าฉายแสง และมีการใช้ Intense Pulse Light หรือ IPL ฆ่าเชื้อสิว ลดความมันของผิว ลดรอยดำ และรอยแดง เป็นโปรแกรมที่มีความคุ้มค่าเพราะรวมการรักษาสิวและรอยด้วยกันในครั้งเดียว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรอยสิว
Q: รอยสิวหายเองได้ไหม?
A: ในบางกรณี โดยเฉพาะ รอยสิวดำ อาจจางลงเองได้ แต่มักใช้เวลาหลายเดือน การรักษารอยแดงตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้พัฒนาเป็น รอยดำฝังลึก ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจึงจะจางลง
Q: รอยสิวใช้อะไรดี?
A: วิธีที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดคือการใช้ครีมลดรอยสิวที่มีส่วนผสมของ Tranexamic Acid, Arbutin และ Niacinamide หากไม่เห็นผล ควรปรึกษาแพทย์
Q: เลเซอร์และ IPL รักษารอยสิวดีไหม?
A: เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในการรักษารอยแดงและรอยดำจากสิว อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและความต่อเนื่องในการรักษา ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อน เพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัย
Q: รอยสิวหายภายในกี่วัน?
A: ใช้เวลาประมาณ 3-12 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของรอยสิว โดยรอยดำมักใช้เวลานานกว่ารอยแดง แนะนำให้รีบรักษารอยแดงก่อน เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำ
The One Clinic รักษาสิว ฟื้นฟูผิวแข็งแรง

สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวหิน สิวไต สิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือปัญหาผิวอื่น ๆ ที่ต้องการการดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง The One Clinic พร้อมเป็นที่ปรึกษาให้คุณ เรามีโปรแกรมการรักษาด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ยาสูตรเฉพาะของ The One Clinic และออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล แก้ปัญหาที่ต้นตอ ไม่ให้สิวกลับมาเป็นซ้ำ นอกจากนี้ เรายังมีคอร์สฟื้นฟูผิวแข็งแรงสำหรับผู้ที่อยากมีผิวสุขภาพดีอีกด้วย
ติดต่อนัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์ของเราได้ที่ Add Line: @theoneclinic (มี@) หรือ โทร. 093-5830921