สิวที่หลัง คัน เม็ดใหญ่มาก รู้สาเหตุและวิธีรักษาที่ถูกต้อง สิวหายไม่ทิ้งรอย!

หลายคนคงเจอปัญหาสิวที่หลัง บ้างกฌมีสาเหตุ บ้างก็หาสาเหตุแน่ชัดไม่ได้ วันนี้ The One Clinic จะพาไปทำความเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง แนวทางการรักษา และการดูแลตัวเองแบบง่ายๆ เพื่อไม่ให้สิวทิ้งรอยเอาไว้

สิวที่หลัง เกิดจากอะไร?

สิวที่หลังเป็นปัญหาที่กวนใจใครหลายคน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุคล้ายกับสิวบนใบหน้า แต่ก็มีปัจจัยเฉพาะที่ทำให้เกิดสิวที่หลังได้บ่อยกว่า ได้แก่:

ปัจจัยภายใน:

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ช่วงวัยรุ่นหรือช่วงมีประจำเดือน ฮอร์โมนอาจเปลี่ยนแปลง ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น เกิดการอุดตันรูขุมขนจนเกิดสิว
  • พันธุกรรม: หากคนในครอบครัวมีแนวโน้มเป็นสิว ก็มีโอกาสที่คุณจะเป็นสิวได้ง่ายขึ้น
  • ความเครียด: ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมัน ทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น

ปัจจัยภายนอก:

  • เหงื่อและความอับชื้น: หลังเป็นบริเวณที่เหงื่อออกง่าย หากเหงื่อออกมากและไม่ระบายออก อาจทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
  • การเสียดสี: เสื้อผ้าที่รัดแน่น หรือกระเป๋าเป้ อาจเสียดสีกับผิว ทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบ
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: ผลิตภัณฑ์บางชนิด เช่น ครีมอาบน้ำ โลชั่น หรือครีมกันแดด ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน อาจอุดตันรูขุมขนได้
  • การทำความสะอาดไม่ทั่วถึง: หากทำความสะอาดหลังไม่สะอาด อาจทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นตอของการเกิดสิว
  • ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดสิว

มีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง:

  • อาหาร: อาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและไขมันสูง อาจส่งผลต่อการเกิดสิวได้ง่ายในคนไข้บางราย
  • การนอนไม่เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และเกิดสิวได้ง่ายขึ้น

รู้ให้ชัด! ชนิดของสิวที่หลัง

สิวที่หลังมีกี่ชนิด

จริงๆ แล้วสิวที่หลังก็สามารถแบ่งได้เป็นหลายชนิดตามลักษณะและความรุนแรง เหมือนสิวที่เกิดบริเวณใบหน้า เราจึงควรแยกแยะสิวให้ถูกชนิด เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพค่ะ

1. สิวอุดตัน (Comedones):

  • สิวหัวดำ (Blackheads): เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยความมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เมื่อสัมผัสกับอากาศ ส่วนที่อุดตันจะกลายเป็นสีดำ
  • สิวหัวขาว (Whiteheads): เกิดจากการอุดตันเช่นเดียวกับสิวหัวดำ แต่รูขุมขนปิด ทำให้ส่วนที่อุดตันยังคงเป็นสีขาว

2. สิวอักเสบ (Inflammatory Acne):

  • สิวตุ่มแดง (Papules): เป็นตุ่มแดงเล็กๆ บวม ไม่มีหัว เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน
  • สิวหัวหนอง (Pustules): เป็นตุ่มแดงที่มีหัวหนองสีขาวหรือเหลือง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน
  • สิวอักเสบชนิดก้อนลึก (Nodules): เป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ อยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง มีความรู้สึกเจ็บที่บริเวณสิว
  • สิวอักเสบชนิดถุง (Cysts): เป็นก้อนขนาดใหญ่ มีหนองอยู่ข้างใน มักเจ็บและทิ้งรอยแผลเป็นได้ง่าย

3. สิวผด (Acne Rosacea):

  • เป็นผื่นแดง มีตุ่มแดงเล็กๆ คล้ายสิว มักเกิดบริเวณใบหน้า แต่ก็สามารถเกิดที่หลังได้เช่นกัน มักมีอาการแสบร้อนร่วมด้วย

สิวที่หลัง VS สิวที่หน้า ต่างกันอย่างไร?

คนที่ไม่ค่อยเป็นสิวอาจจะสงสัยว่าสิวที่หลังและสิวที่หน้ามีความแตกต่างกันหรือไม่? หมอหนึ่งขอตอบตรงนี้เลยค่ะว่ามีทั้งความเหมือนและความแตกต่าง แต่โดยทั่วไปแล้วสิวที่หลังจะมีความรุนแรงกว่า รักษาได้ยากกว่าและใช้เวลานานกว่าจะหายดี

ความเหมือน:

  • สาเหตุ: ทั้งสิวที่หลังและสิวที่หน้ามีสาเหตุหลักๆ เหมือนกัน คือ เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยความมันส่วนเกิน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเรีย รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นตัวกระตุ้น เช่น ฮอร์โมน พันธุกรรม ความเครียด ก็มีผลต่อการเกิดสิวทั้งสองบริเวณ
  • ชนิดของสิว: สิวที่หลังและสิวที่หน้ามีชนิดต่างๆ เหมือนกัน เช่น สิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวผด
  • การรักษา: หลักการรักษาสิวที่หลังและสิวที่หน้าคล้ายกัน คือ การลดการอุดตัน ลดการอักเสบ และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โดยส่วนมากก็จะใช้ยาในรูปแบบเดียวกัน เช่น ยาทา ยารับประทาน หรือการรักษาด้วยแสง

ความแตกต่าง:

  • ความหนาของผิว: ผิวที่หลังมีความหนากว่าผิวที่หน้า ทำให้สิวที่หลังมักมีขนาดใหญ่กว่า และอักเสบได้ง่ายกว่า
  • ต่อมไขมัน: ต่อมไขมันที่หลังมีขนาดใหญ่กว่าและผลิตน้ำมันมากกว่าต่อมไขมันที่หน้า ทำให้สิวที่หลังมักมีน้ำมันมากกว่า และเกิดสิวหัวดำ สิวหัวขาวได้ง่ายกว่า
  • การดูแล: ผิวที่หลังมักถูกปกคลุมด้วยเสื้อผ้า ทำให้เกิดการเสียดสีและความอับชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดสิวที่หลัง นอกจากนี้ การทำความสะอาดหลังอาจทำได้ยากกว่าการทำความสะอาดหน้า ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรียได้ง่าย
  • การตอบสนองต่อการรักษา: สิวที่หลังอาจตอบสนองต่อการรักษาช้ากว่าสิวที่หน้า เนื่องจากผิวที่หลังมีความหนากว่า และดูแลยากกว่า

สิวที่หลังและสิวที่หน้ามีสาเหตุและชนิดคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างในเรื่องความหนาของผิว ขนาดของต่อมไขมัน การดูแล และการตอบสนองต่อการรักษา ดังนั้น การรักษาสิวที่หลังอาจต้องใช้ยาที่แรงกว่า หรือใช้เวลานานกว่าการรักษาสิวที่หน้านั่นเอง

แชร์วิธีป้องกันสิวที่หลัง

การป้องกันสิวที่หลังสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการดูแลผิวพรรณ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดสิวที่หลัง ตามหมอหนึ่งไปดูกันเลยค่ะ

1. การดูแลผิวพรรณด้วยตัวเอง:

  • ทำความสะอาดผิวที่หลังอย่างถูกวิธี: ควรใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำสูตรอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว และไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์ ทำความสะอาดหลังให้ทั่วถึง โดยเฉพาะหลังออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก หากไม่ได้อาบน้ำทันทีก็ควรซับเหงื่อให้แห้งและเปลี่ยนไปใส่เสื้อที่สะอาดแทน
  • ทาครีมบำรุงผิว: เลือกใช้ครีมบำรุงผิวสูตร Oil-free หรือ Non-comedogenic ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
  • หลีกเลี่ยงการแกะเกาสิว: การแกะเกาสิวจะทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อ เพิ่มโอกาสการเกิดรอยแผลเป็น

2. การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์:

  • เลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี: เช่น ผ้าฝ้าย ควรหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือทำจากผ้าใยสังเคราะห์ที่ทำให้เกิดการเสียดสีและความอับชื้น
  • ทำความสะอาดเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนบ่อยๆ: เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก
  • เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่เหมาะสม: หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันมากเกินไป เพราะอาจไหลลงมาอุดตันรูขุมขนที่แผ่นหลังได้
  • ใช้ครีมกันแดดสูตร Oil-free เป็นประจำ: เพื่อป้องกันผิวไหม้และระคายเคือง ซึ่งอาจกระตุ้นให้ผิวอ่อนแอและเกิดสิว

3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม:

  • อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกาย: เพื่อชำระล้างเหงื่อและสิ่งสกปรกออกจากผิว
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและขับของเสียออกจากร่างกาย
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน การนอนหลับไม่พอส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนผิดปกติและเกิดสิวขึ้นได้ (ref: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7445853/)
  • ลดความเครียด: งานวิจัยล่าสุดของ National Center for Biotechnology Information บ่งชี้ว่าความเครียดเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิวได้

คำถามยอดฮิต อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงทำให้เกิดสิวหรือไม่?

ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงเป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดสิวในทุกคน แต่มีงานวิจัยบางส่วนที่บ่งชี้ว่าอาหารเหล่านี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดสิวในบางคนได้ค่ะ

อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงอาจส่งผลต่อการเกิดสิวได้อย่างไร?

  • เพิ่มระดับอินซูลิน: อาหารที่มีน้ำตาลสูงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายจึงต้องผลิตอินซูลินออกมาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล ซึ่งอินซูลินอาจกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิว และส่งผลต่อการเกิดสิวได้
  • กระตุ้นการอักเสบ: อาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ อาจกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สิวแย่ลงได้
  • ส่งผลต่อฮอร์โมน: อาหารบางชนิด เช่น ผลิตภัณฑ์นม อาจมีผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจกระตุ้นการผลิตน้ำมันและทำให้เกิดสิวได้

ใครที่ควรระวังเรื่องอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงบ้าง?

  • ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย: หากคุณมีประวัติเป็นสิว หรือสังเกตว่าสิวของคุณมักจะขึ้นหลังจากรับประทานอาหารบางชนิด ควรลองลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงแล้วสังเกตความเปลี่ยนแปลง
  • ผู้ที่เป็นสิวอยู่แล้ว: หากคุณกำลังรักษาสิวอยู่ การลดปริมาณอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงอาจช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้น

วิธีรักษาสิวที่หลังอย่างเห็นผล

สำหรับวิธีการรักษาสิวที่หลังขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของสิวค่ะ แพทย์จะต้องพิจารณาเป็นรายบุคคลเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยทั่วไปก็มีวิธีการรักษาค่อนข้างหลากหลาย ดังนี้

1. การดูแลผิวด้วยตนเอง:

  • ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี: ใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำสูตรอ่อนโยน ทำความสะอาดหลังวันละ 2 ครั้ง และซับผิวให้แห้งก่อนสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด เพื่อลดความอับชื้นที่หลัง 
  • ทาครีมบำรุงผิว: เลือกใช้ครีมบำรุงผิวสูตร Oil-free หรือ Non-comedogenic ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน ควรบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรง
  • หลีกเลี่ยงการแกะเกาสิว: การแกะเกาสิวจะทำให้เกิดการอักเสบและอาจจะทำให้แผลติดเชื้อ รักษายากกว่าเดิม

2. การใช้ยา:

  • ยาทา:
    • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ และลดการอุดตันรูขุมขน
    • Adapalene: เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ช่วยลดการอุดตันรูขุมขน
  • การฉีดสิว: เป็นการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปในสิวอักเสบ เพื่อลดการอักเสบและขนาดของสิว
  • การกดสิว: ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันการอักเสบและการเกิดรอยแผลเป็น
  • การรักษาด้วยแสง (Phototherapy): เช่น การฉายแสงสีฟ้าหรือการใช้เลเซอร์รักษาสิว ช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีเช่นกัน

หมอหนึ่งแนะนำเพิ่มเติม:

  • หากสิวที่หลังไม่ดีขึ้นหลังจากการดูแลด้วยตนเอง หรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
  • การรักษาสิวต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอในการดูแลผิวและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จัดการความเครียด และทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี ก็ช่วยลดโอกาสเกิดสิวที่หลังได้

รอยดำรอยแดงจากสิวที่หลัง

สำหรับปัญหารอยดำรอยแดงจากสิวที่หลังเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสิวมีการอักเสบรุนแรง หรือมีการแกะเกาสิวอย่างผิดวิธี ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองและการสร้างเม็ดสีผิวเพิ่มขึ้น โดยรอยเหล่านี้อาจส่งผลให้คุณรู้สึกขาดความมั่นใจ กังวลใจ และอยากรักษาให้หายขาด โดยการรักษาก็มีหลายวิธีที่เห็นผลและแพทย์ผิวหนังแนะนำ

วิธีรักษารอยดำรอยแดงจากสิวที่หลัง:

1. การดูแลผิวด้วยตนเอง:

  • ทาผลิตภัณฑ์ลดรอยดำรอยแดง: เลือกครีมหรือเจลที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว เช่น วิตามินซี ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) กรดโคจิก (Kojic acid) หรือสารสกัดจากชะเอมเทศ
  • ทาครีมกันแดด: สิ่งสำคัญมากในการป้องกันไม่ให้รอยดำรอยแดงเข้มขึ้นคือการทาครีมกันแดดเป็นประจำ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ ขึ้นไป และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานๆ เพราะแสงแดดคือตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีขึ้น
  • ผลัดเซลล์ผิว: การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA อย่างอ่อนโยน สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง สามารถช่วยให้รอยจางลดลงได้เร็วขึ้นและมีสีผิวที่สม่ำเสมอ

2. การรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง:

  • Laser: การใช้ Laser รักษารอยดำ จะเข้าไปทำลายเม็ดสีและลดรอยดำที่เกิดขึ้น หรือ Laser รักษารอยแดงจากสิว ที่เข้าไปทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวเพื่อลดการอักเสบและรอยแดงจางลง 
  • ยา: แพทย์อาจจ่ายยาที่มีส่วนประกอบบางชนิด เช่น กลุ่ม Retinoids เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว กลุ่ม Tranexamic acid เพื่อลดรอยแดง หรือ กลุ่ม Hydroquinone เพื่อลดรอยดำ

ระยะเวลาในการรักษา:

สำหรับระยะเวลาในการรักษารอยดำหรือรอยแดงจากสิวขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความเข้มของรอยดำรอยแดง สภาพผิว และวิธีการรักษาที่เลือกใช้ โดยทั่วไปอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่ารอยจะจางลงจนสังเกตได้

FAQ คำถามที่พบบ่อย

Q : สิวที่หลัง กดหรือบีบได้ไหม?
A : หมอขอห้ามโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้มีอาการอักเสบมากขึ้น ทำให้สิวหายช้า และยังส่งผลให้เกิดรอยดำหรือแผลเป็นได้

Q : รักษาสิวที่หลัง ประมาณกี่วันถึงจะหาย
A : สิวที่หลังแต่ละประเภทจะใช้เวลารักษาต่างกัน ดังนี้

  • สิวอุดตันเล็กน้อย: อาจใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ในการรักษา
  • สิวอักเสบ: อาจใช้เวลา 2-3 เดือน หรือนานกว่านั้น
  • สิวรุนแรง: ใช้เวลาหลายเดือน หรืออาจต้องรักษาต่อเนื่องนานเป็นปี

โดยทั่วไปแล้วสิวที่หลังใช้เวลารักษานานกว่าสิวบนใบหน้า เพราะสิวที่หลังจะมีความรุนแรงกว่าและรักษาได้ยากกว่า

Q : รอยดำ รอยสิวที่หลังหายเองไหม?
A : ไม่สามารถหายไปเองได้ ต้องใช้ยาทาลดเม็ดสี หรือ รักษาด้วยการทำ Laser เท่านั้น

Q : เป็นสิวที่หลังเมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
A : หลังจากการดูแลผิวอย่างถูกวิธีและใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่หาซื้อได้ทั่วไปแล้ว แต่สิวไม่ดีขึ้นภายใน 4-8 สัปดาห์ ก็ควรไปพบแพทย์ หรือถ้าสิวมีอาการรุนแรง มีอาการปวด บวม แดง มีหนองมาก หรือมีจำนวนมากและกระจายเป็นบริเวณกว้าง ก็ให้รีบพบแพทย์ทันทีโดยไม่ต้องรอนานถึง 4 สัปดาห์

สิวที่หลัง รักษาได้ วางใจ The One Clinic

หากคุณมีปัญหาสิวที่หลัง หรือสิวประเภทต่างๆ สามารถเข้ามาพบหมอหนึ่งเพื่อรับคำปรึกษา ที่ The One Clinic ได้ทุกวัน เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่สามารถวินิจฉัยอาการและออกแบบการรักษาเฉพาะรายบุคคล ทำให้สิวหาย ไม่กลับมาเป็นซ้ำ รวมทั้งผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน

สำหรับผู้ที่สนใจนัดหมาย หรือ สอบถามโปรโมชั่นประจำเดือนนี้ โทร. 093-583-0921 หรือ แอดไลน์ @theoneclinic ได้เลยค่ะ

บทความที่คล้ายกัน

สิวที่หัว

สิวที่หัวขึ้นเต็มไปหมด เจ็บมาก กวนใจ แถมหายช้า เกิดจากอะไรและรักษาอย่างไรให้หายไว

สิวที่หัวขึ้นเยอะ เจ็บ และหายช้า? หมอหนึ่งอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักถึงสาเหตุของสิวที่หัว พร้อมวิธีการป้องกันและรักษาให้หายขาด

เชื้อราบนหนังศีรษะ

เชื้อราบนหนังศีรษะ ผมร่วง คันหัวมาก เกิดจากอะไร? รักษาอย่างไรให้หายขาด?

ปัญหากวนใจ คันหนังศีรษะ เชื้อราบนหนังศีรษะหากปล่อยทิ้งไว้ส่งผลต่อปัญหาผิวหนังและเส้นผม เพียงเข้าใจสาเหตุ วิธีป้องกัน และได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีสามารถหายขาดได้

สิวหัวดำ

สิวหัวดำเม็ดแข็งๆ หายได้ รู้สาเหตุและวิธีรักษา เพื่อผิวเรียบเนียนไม่มีสะดุด

ปัญหาสิวหัวดำ หน้าไม่เรียบเนียน รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย The one clinic จะพาไปทำความรู้จักถึงสาเหตุและการรักษาสิวหัวดำที่เห็นผลและหายไว