เคยไหม? มีสิวเม็ดใหญ่ บวมแดง ไม่มีหัว แถมเจ็บจนแตะไม่ได้! นั่นคือ “สิวไต” หนึ่งในปัญหาผิวที่หลายคนต้องเจอ ไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว แต่ยังสร้างความกังวลใจเพราะมักจะทิ้งรอยไว้หรือกลับมาเป็นซ้ำอีก
สิวไตเกิดจากอะไร? ฮอร์โมน การอุดตันในรูขุมขน หรือการติดเชื้อใต้ผิวหนังล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง และถ้ารักษาไม่ถูกวิธี อาจทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น ไปดูสาเหตุชัด ๆ และวิธีการป้องกัน กับ The One Clinic เลย
สารบัญ
ทำความรู้จัก ‘สิวไต’ คืออะไร?
สิวไต หรือ สิวเป็นไต (Nodular Acne) เป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง แข็ง ไม่มีหัว คล้ายเม็ดถั่วฝังอยู่ใต้ผิวหนัง มักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก และแผ่นหลัง
ทำไมสิวไตถึงเจ็บและปวดมากกว่าสิวชนิดอื่น?
- การอักเสบที่รุนแรงและลึก: สิวไตเกิดจากการอักเสบที่รุนแรง ลุกลามเข้าไปในชั้นผิวหนังที่ลึกกว่าสิวชนิดอื่น ทำให้เกิดการบวม แดง และกดเจ็บ ยิ่งอักเสบลึกเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระตุ้นเส้นประสาท ทำให้รู้สึกเจ็บมากขึ้นเท่านั้น
- ไม่มีหัวสิว: สิวไตมักเป็นสิวไม่มีหัว ทำให้หนอง สิ่งสกปรก และแบคทีเรีย ไม่สามารถระบายออกมาได้ เกิดการสะสม และก่อให้เกิดแรงดันภายใน ยิ่งเพิ่มความเจ็บปวด
- ขนาดใหญ่: สิวไตมักมีขนาดใหญ่กว่าสิวอุดตันและสิวชนิดอื่น ๆ ทำให้เกิดการยืดขยายของเนื้อเยื่อ และกดทับเส้นประสาท ส่งผลให้ปวดมากขึ้น
คลายข้อสงสัย! สิวไตเกิดจากอะไร?
การอุดตันของต่อมไขมัน
- รูขุมขนอุดตันจากเซลล์ผิวที่ตายแล้ว น้ำมันส่วนเกิน (Sebum) และแบคทีเรีย
- ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรก เป็นแหล่งอาหารชั้นดีของแบคทีเรีย
- เกิดการอักเสบ บวมแดง กลายเป็นสิวไตในที่สุด
การอักเสบ:
- เมื่อรูขุมขนอุดตัน ไขมันและแบคทีเรียที่สะสมอยู่จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
- ร่างกายจะส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวมาต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้เกิดการบวม แดง ร้อน และเจ็บ
- การอักเสบนี้เองที่ทำให้สิวไตมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็ง ไม่มีหัว และสร้างความรู้สึกเจ็บปวด
ฮอร์โมน
- ระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ที่สูงในวัยรุ่นเนื่องจากเป็นโรคบางชนิด เช่น โรคถุงน้ำในรังไข่ (PCOS) หรือการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงประจำเดือน ส่งผลกระตุ้นให้ต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น จนเกิดการอุดตัน โดยเฉพาะบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ ๆเช่น T-Zone เป็นต้น
ปัจจัยกระตุ้นจากภายนอก
1.พฤติกรรม:
- การสัมผัสใบหน้า: เช่น ใช้มือจับหน้า เท้าคาง นอนคว่ำหน้า
- การแกะ เกา หรือบีบสิว: ทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ และลุกลาม
- การขัดผิวแรง ๆ: ทำให้ผิวบางและระคายเคืองง่าย
- การสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น: เสื้อผ้าที่เสียดสีกับผิวจนเกินไป ทำให้เกิดความอับชื้นและการอุดตัน
2. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง:
- ส่วนผสมที่ก่อให้เกิดสิว: เช่น น้ำมัน ซิลิโคน น้ำหอม แอลกอฮอล์
- การใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม: เช่น ใช้มากเกินไป ใช้ผิดวิธี หรือไม่ล้างออกให้สะอาด
- ไม่ทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้า: เช่น แปรง พัฟ ฟองน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคหลายชนิด
3. สิ่งแวดล้อม:
- มลภาวะ: ฝุ่น ควัน
- อากาศร้อนชื้น: ทำให้เหงื่อออกมาก เกิดการอุดตันรูขุมขนได้ง่าย
- แสงแดด: ทำให้ผิวแห้ง ระคายเคือง และกระตุ้นการอักเสบของผิว
สิวไตรักษาอย่างไรให้หาย?
สิวไตขึ้นชื่อเรื่องรักษายากและมักทิ้งรอยแผลเป็น ดังนั้น ยิ่งถ้าคุณได้รับการรักษาเร็วเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสหายขาด และลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นได้มากเท่านั้น แต่ต้องเป็นการรักษาที่ปลอดภัยและถูกวิธีนะคะ
1. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี
- ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง: เช้าและก่อนนอน ด้วยน้ำสะอาดหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยน เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น เจลล้างหน้า โฟมล้างหน้า
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว: ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า Non-comedogenic ปราศจากน้ำมัน แอลกอฮอล์ พาราเบน และน้ำหอม
- ล้างหน้าเบา ๆ: ใช้นิ้วนวดวนเบา ๆ ไม่ควรขัดถูแรง ๆ เพราะจะทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคือง
- ซับหน้าให้แห้ง: หลังจากล้างหน้าแล้วควรซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด หรือกระดาษเช็ดหน้า
2. ประคบเย็น
- ประคบเย็น: บริเวณที่เป็นสิว วันละหลาย ๆ ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที ช่วยลดการอักเสบ บวม และแดง
3. ยาทา
- ใช้ยาทา Benzoyl peroxide เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ
- ใช้ยาทากลุ่ม Retinoids เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน
การรักษาสิวไตทางการแพท
การรักษาสิวไตทางการแพทย์มีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรง ตำแหน่ง และสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยแพทย์ผิวหนังจะเป็นผู้ประเมินและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้สิวไตค่อย ๆ ยุบและหายได้โดยไม่ทิ้งรอยสิวกวนใจ
1. ยาทา
- ยาทาละลายหัวสิว: เช่น Benzoyl peroxide, Retinoids (adapalene, tretinoin) ช่วยลดการอุดตัน ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และลดการอักเสบ
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา: เช่น Clindamycin, Erythromycin ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ
2. ยารับประทาน
- ยาปฏิชีวนะ: เช่น Doxycycline, Clindamycin ใช้ในกรณีที่สิวไตอักเสบรุนแรง หรือมีสิวไตหลายเม็ด
- Isotretinoin: เป็นยารับประทานที่ใช้รักษาสิวรุนแรง รวมถึงสิวไต แต่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
- ยาคุมกำเนิด: ช่วยปรับฮอร์โมน ลดการผลิตน้ำมัน เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีสิวไตจากฮอร์โมน
3. หัตถการ
- การฉีดสิว: แพทย์จะฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปในสิวไต เพื่อลดการอักเสบ และช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้น
- การกดสิว: แพทย์จะใช้เครื่องมือเฉพาะในการกดเอาสิวไตออก ในกรณีที่สิวไตมีหัว
4. คลื่นวิทยุ และ เลเซอร์
- คลื่นวิทยุ (Radio Frequency): ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันที่เป็นสาเหตุการเกิดสิวไต ลดการอักเสบ และลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณผิวหนัง
- เลเซอร์ Nd YAG: เลเซอร์ทำงานโดยการปล่อยพลังงานแสงที่ความยาว 585 nM ที่ดูดซับโดย ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ทำให้อาการอักเสบลดลง และช่วยให้รอยแดงจากสิวจางลงได้
ข้อควรระวัง: ไม่ควรบีบ แกะ เกา สิวไต เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ ลุกลาม และทิ้งรอยแผลเป็น โดยการรักษาสิวไตนั้นต้องใช้เวลาและความอดทนมากพอสมควรเลยค่ะ การดูแลตัวเองและผิวหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ ควบคู่กับการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยให้สิวไตหายขาด และลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นได้ค่ะ
วิธีการรักษาสิวอุดตัน
การรักษาสิวอุดตัน (Comedones หรือ Clogged Pores) นั้นมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของสิวอุดตันที่เกิดขึ้นบนผิวของคุณ โดยทั่วไปก็สามารถรักษาได้ทั้งการใช้ยาทาภายนอก สั่งจ่ายยาให้รับประทาน รวมทั้งรักษาด้วยเครื่องมือต่าง ๆ The One Clinic ขอแชร์วิธีการรักษาสิวอุดตันที่ได้ผลและไม่เป็นอันตรายให้ทราบกันค่ะ
ผลิตภัณฑ์รักษาสิว:
- Benzoyl Peroxide: ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวและลดการอักเสบของสิว โดยมักจะใช้เป็นเจลหรือครีมที่ทาลงบนผิวก่อนล้างหน้า
- Salicylic Acid: ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน เป็นสารประกอบที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ล้างหน้าและโทนเนอร์
- Retinoids: ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวอย่างล้ำลึก ลดการเกิดสิวอุดตัน และฟื้นฟูคุณภาพผิวให้แข็งแรงขึ้นในระยะยาว
การรักษาด้วยเทคโนโลยี (Advanced Treatments):
- เลเซอร์รักษาสิว: สามารถใช้เลเซอร์เพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรีย ลดการผลิตน้ำมันในชั้นผิว และลดการเกิดสิว
- การทำหัตถการต่าง ๆ: เช่น การกดสิวหรือการผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peels) สามารถช่วยลดการอุดตันและฟื้นฟูสภาพผิว แต่ต้องทำอย่างเหมาะสมและถูกวิธี
การใช้ยาปฏิชีวนะและยารับประทาน (Antibiotics and Oral Medications)
- Isotretinoin: ยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวที่อยู่ในระดับรุนแรง มีฤทธิ์ช่วยลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันและลดการอักเสบ ซึ่งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และผู้ชำนาญการ เนื่องจากยานี้มีผลข้างเคียงที่รุนแรง
ข้อควรระวังในการรักษาสิวอุดตัน
- ไม่ควรบีบสิว/แกะสิวด้วยตัวเอง
การบีบหรือแกะสิวโดยไม่มีความชำนาญและไม่ได้ดูแลความสะอาด สามารถทำให้เกิดแผลเป็นและเกิดการติดเชื้อได้ - เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือแอลกอฮอล์ อาจทำให้ผิวระคายเคืองและกระตุ้นจนสิวลุกลามมากขึ้น
วิธีป้องกันสิวไต
สิวไตเป็นเรื่องกวนใจและน่ากังวล แต่คุณสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ต้องรู้วิธีการป้องกันสิวไตอย่างถูกวิธี ดังนี้:
1. การล้างหน้าให้สะอาด
การล้างหน้าอย่างถูกวิธีเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันสิวไต ควรเลือกใช้ โฟมล้างหน้าที่ไม่มีน้ำมัน (Oil-free) และเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย เพื่อไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันหรือระคายเคือง
คำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์:
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide เพื่อช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและควบคุมความมัน
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มี น้ำหอม หรือ แอลกอฮอล์ ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งและเกิดการระคายเคือง
- มองหาผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “Non-comedogenic” เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
2. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
สิวไตสามารถป้องกันได้ด้วยการลดปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบหรือการอุดตัน
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่หนา: โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนักหรือไม่ระบุว่าเป็น “Non-comedogenic”
- งดสัมผัสใบหน้าด้วยมือที่ไม่สะอาด: การสัมผัสใบหน้าอาจนำเชื้อโรคและแบคทีเรียเข้าสู่รูขุมขน
- เปลี่ยนปลอกหมอนและผ้าเช็ดหน้าเป็นประจำ: เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกสะสมที่อาจกระตุ้นให้เกิดสิว
3. การปรับสมดุลฮอร์โมน
ฮอร์โมนที่แปรปรวนมักเป็นสาเหตุหลักของสิวไต การปรับสมดุลภายในร่างกายจึงช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เช่น โยคะ หรือการเดินเร็ว เพื่อช่วยลดความเครียดที่อาจกระตุ้นการแปรปรวนของฮอร์โมน
- รับประทานอาหารที่ดีต่อฮอร์โมน:
- เน้นอาหารที่มี โอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอนหรือถั่ว
- ลดการบริโภคน้ำตาลและของทอด เพราะอาจกระตุ้นให้ฮอร์โมนไม่สมดุล
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับที่ดีช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนได้อย่างเป็นธรรมชาติ
โปรแกรมรักษาสิวไต ที่ The one clinic
The One Clinic มีโปรแกรมรักษาสิวไตที่เหมาะที่สุดคือ AcGen Acne Away เพราะเป็นการใช้คลื่นวิทยุที่ส่งพลังงานได้อย่างแม่นยำลงไปที่ต่อมไขมันเพื่อลดการอักเสบ และลดการทำงานของต่อมไขมัน ส่งผลให้สิวไตยุบได้อย่างรวดเร็วภายในเวลา 4-7 วันค่ะ
นอกจากนี้ โปรแกรม AcGen Acne Away ยังไม่ทำให้ผิวแห้งเหมือนการทานยากลุ่มกรดวิตามินเอ เพราะเป็นการรักษาเฉพาะต่อมไขมันที่มีปัญหาเท่านั้น ไม่กระทบกับบริเวณอื่น ไม่มีสะเก็ดแผลใด ๆ หรือผลข้างเคียงของการฉีดสิวที่อาจทำให้เกิดหลุมสิวได้
หากคุณมีปัญหาสิวไตหรือสิวชนิดอื่น ๆ สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ที่ The One Clinic เพื่อตรวจสภาพผิวหาสาเหตุของสิว และประเมินการรักษาเบื้องต้นได้ทุกวันนะคะ
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวไต
Q : สิวไต หายเองได้ไหม?
A : สิวไตจะหายเองได้ แต่ใช้เวลานานและจะทิ้งแผลเป็นและรอยดำเสมอค่ะ
Q : สิวไต กี่วันหาย?
A : สิวไตอาจใช้เวลานานกว่าจะหายเองได้ อาจเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว แต่ไม่ควรแกะสิวหรือซื้อยามารับประทานเอง เพราะอาจจะทำให้อาการรุนแรงขึ้นถึงขั้นติดเชื้อ
Q : สิวไตใช้ยาอะไร?
A : สามารถยาทาละลายหัวสิว เช่น Benzoyl peroxide, Retinoids ช่วยลดการอุดตัน และลดการอักเสบ ควบคู่กับยาปฏิชีวนะชนิดทา เช่น Clindamycin, Erythromycin ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ
The One Clinic เคลียร์สิวโดยแพทย์ ปรึกษาได้เลย!
หากคุณต้องการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเพื่อรักษาสิวไต สิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือปัญหาผิวประเภทอื่น ๆ ที่ The One Clinic มีแพทย์ที่มีความชำนาญและโปรแกรมการรักษาตามมาตรฐานคอยบริการ โดยแพทย์จะวินิจฉัยและออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและไม่เลี้ยงไข้ให้คุณต้องเสียเงินเกินความจำเป็น
สามารถนัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์ของเราได้ที่ Add Line: @theoneclinic (มี@) หรือ โทร. 093-5830921