สำหรับปัญหาผมร่วง ผมบาง และศีรษะล้าน สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ เนื่องจากทรงผมมีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์และเสริมบุคลิกภาพ The One Clinic จึงอยากแชร์ความรู้เกี่ยวกับปัญหาผมบาง รวมถึงการรักษาเพื่อให้ผมกลับมาแข็งแรง หนาขึ้น และลดการขาดหลุดร่วง
ปัญหาผมบางคืออะไร?
ปัญหาผมบาง คือภาวะที่เส้นผมมีปริมาณลดลง ทำให้ดูบางลงกว่าปกติ ส่งผลต่อบุคลิกภาพและความมั่นใจของผู้ประสบปัญหา ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง โดยมีสาเหตุค่อนข้างหลากหลาย ซึ่งโดยปกติแล้ว คนเราจะมีผมร่วงประมาณ 50-100 เส้นต่อวัน เนื่องจากเส้นผมมีวงจรชีวิตของมันเอง คือ มีช่วงเจริญเติบโต ช่วงพัก และช่วงหลุดร่วง เพื่อให้เส้นผมใหม่งอกขึ้นมาแทนที่ ในวันสระผม ผมอาจร่วงได้มากกว่าปกติ แต่ถ้าลองสังเกตตัวเองแล้วพบว่าผมร่วงมากกว่า 150 เส้นต่อวันอย่างต่อเนื่อง หรือมีผมร่วงเป็นหย่อม ๆ จนรู้สึกว่าผมบางลงอย่างเห็นได้ชัด ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญด้านเส้นผมเพื่อแก้ปัญหาโดยเร็ว
รวมทุกสาเหตุของ ผมบาง เกิดจากอะไรบ้าง?
หากคุณมีปัญหาผมร่วง ผมบางและมีความกังวล เราลองมาดูสาเหตุของการเกิดผมร่วง ผมบาง ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน ดังนี้:
1.ปัจจัยทางพันธุกรรม
ผมบางจากพันธุกรรม หรือที่เรียกว่า “ศีรษะล้านแบบผู้ชาย” และ “ศีรษะล้านแบบผู้หญิง” เป็นสาเหตุหลักของปัญหาผมบาง โดยเฉพาะในผู้ชาย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมฝั่งมารดา
ลักษณะเฉพาะ:
- ผู้ชาย: ผมจะเริ่มบางลงบริเวณขมับและกลางศีรษะก่อน แล้วค่อย ๆ ลุกลามไปทั่วศีรษะ จนอาจทำให้เกิดศีรษะล้านได้ในที่สุด
- ผู้หญิง: ผมจะบางลงทั่วศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณกลางศีรษะ ทำให้ผมดูบางลง แต่ส่วนใหญ่มักไม่ถึงขั้นศีรษะล้าน
สาเหตุ:
- ความไวต่อฮอร์โมน DHT: รากผมของผู้ที่มีพันธุกรรมผมบางมีความไวต่อฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของฮอร์โมนเพศชาย โดยฮอร์โมนนี้ทำให้รากผมมีขนาดเล็กลง อายุของเส้นผมสั้นลง และผมที่งอกใหม่มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดรากผมฝ่อลงและไม่สามารถสร้างเส้นผมใหม่ได้
2.ฮอร์โมน
ผมบางจากฮอร์โมน เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้ผมร่วงและบางลงอย่างเห็นได้ชัด
สาเหตุสำคัญ:
- ฮอร์โมน DHT: อย่างที่อธิบายข้างต้นว่าฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) เป็นอนุพันธ์ของฮอร์โมนเพศชาย มีผลทำให้รากผมมีขนาดเล็กลง อายุของเส้นผมสั้นลง และผมที่งอกใหม่มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จนรากผมฝ่อลงและไม่สามารถสร้างเส้นผมใหม่ได้ พบได้บ่อยในผู้ชายที่มีพันธุกรรมผมบาง หรือ “ศีรษะล้านแบบผู้ชาย”
- ความไม่สมดุลของฮอร์โมนอื่น ๆ: ฮอร์โมนชนิดอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม ได้แก่
- ฮอร์โมนไทรอยด์: ทั้งภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) และไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism) สามารถทำให้ผมร่วงได้
- ฮอร์โมนเพศหญิง: การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เช่น ในช่วงตั้งครรภ์ หลังคลอดบุตร หรือช่วงวัยหมดประจำเดือน อาจทำให้ผมร่วงชั่วคราวได้
3.การดูแลรักษาผมไม่ถูกวิธี
การดูแลรักษาผมโดยไม่ถูกวิธีก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพเส้นผม ทำให้ผมอ่อนแอ แห้งเสีย แตกปลาย และหลุดร่วงง่าย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาผมบางในระยะยาว หมอหนึ่งมีตัวอย่างพฤติกรรมการดูแลผมที่ไม่ถูกวิธีมาให้ทุกคนได้ลองสังเกตตัวเองและปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เพื่อให้เส้นผมแข็งแรง ลดการขาดหลุดร่วง ซึ่งก็จะช่วยป้องกันการเกิดปัญหาผมบางได้
- สระผมบ่อยเกินไป: การสระผมทุกวันอาจทำให้หนังศีรษะแห้ง และชะล้างน้ำมันธรรมชาติที่จำเป็นต่อการบำรุงเส้นผมออกไป ควรสระผม 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือตามสภาพเส้นผมและหนังศีรษะ
- ใช้น้ำร้อนสระผม: น้ำร้อนจะทำให้หนังศีรษะแห้ง และเส้นผมสูญเสียความชุ่มชื้น ควรใช้น้ำอุ่นหรือน้ำเย็นในการสระผม
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพเส้นผม: การใช้แชมพู ครีมนวด หรือผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่ไม่เหมาะกับสภาพเส้นผม อาจทำให้ผมแห้งเสีย และระคายเคืองหนังศีรษะได้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพเส้นผมของคุณและไม่มีสารก่อการระคายเคือง
- เช็ดผมแรง ๆ: การเช็ดผมแรง ๆ ด้วยผ้าขนหนู อาจทำให้เส้นผมขาดหลุดร่วงได้ ควรใช้ผ้าขนหนูซับผมเบา ๆ เพื่อซับน้ำออก
- หวีผมตอนผมเปียก: เส้นผมเปียกมีความอ่อนแอและขาดง่าย การหวีผมตอนผมเปียกอาจทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้ ควรรอให้ผมแห้งหมาด ๆ ก่อนค่อยหวีผมเบา ๆ
- ใช้ความร้อนจัดแต่งทรงผมบ่อย ๆ: การใช้ไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม หรือเครื่องม้วนผมที่ความร้อนสูงเป็นประจำ อาจทำให้ผมแห้งเสีย แตกปลาย และขาดหลุดร่วงง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนจัดแต่งทรงผมบ่อย ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันความร้อนก่อนจัดแต่งทรงผม
- ทำสีผม ดัดผม ยืดผม บ่อยเกินไป: สารเคมีที่ใช้ในการทำสีผม ดัดผม หรือยืดผม อาจทำให้ผมแห้งเสีย และอ่อนแอลง ควรเว้นระยะเวลาในการทำเคมีเหล่านี้ และบำรุงเส้นผมมากเป็นพิเศษหลังทำเคมี
- รัดผมแน่นเกินไป หรือรัดผมทรงเดิมซ้ำ ๆ: การรัดผมแน่นเกินไป หรือรัดผมทรงเดิมซ้ำ ๆ อาจทำให้ผมขาดหลุดร่วงบริเวณที่รัดผม ควรรัดผมหลวม ๆ และเปลี่ยนทรงผมบ้าง เพื่อให้ผมจุดเดิมได้พักจากการถูกรัดแน่น
4.สุขภาพและโภชนาการ
การดูแลสุขภาพและโภชนาการที่ดีมีส่วนสำคัญในการรักษาสุขภาพเส้นผมและป้องกันปัญหาผมบางได้เช่นกัน เพราะเส้นผมของเราประกอบด้วยโปรตีนเป็นหลัก และต้องการสารอาหารที่หลากหลายเพื่อการเจริญเติบโตและความแข็งแรง
สารอาหารสำคัญสำหรับสุขภาพเส้นผม
- โปรตีน: ช่วยให้ผมแข็งแรงและเติบโตได้ดี พบในเนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว และธัญพืช
- ธาตุเหล็ก: ช่วยในการลำเลียงออกซิเจนไปยังรากผม พบในเนื้อแดง ผักใบเขียวเข้ม และธัญพืช
- สังกะสี: มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์ผมใหม่ และควบคุมการทำงานของต่อมไขมันบนหนังศีรษะ พบในหอยนางรม เนื้อสัตว์ ถั่ว และธัญพืช
- วิตามินดี: ข้อมูลทางการแพทย์พบว่าการขาดวิตามินดีนั้นส่งผลต่อภาวะผมร่วงเป็นหย่อม ซึ่งเป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีรูขุมขน ทำให้ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ
Ref : https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5527723/)
5.ความเครียด
ความเครียดเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาผมร่วงและผมบางได้ แม้ว่าจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่ความเครียดเรื้อรังสามารถส่งผลกระทบต่อวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม และทำให้ผมร่วงมากกว่าปกติ หากคุณสามารถจัดการความเครียดได้ดีขึ้น ไม่เพียงส่งผลต่อเส้นผมที่แข็งแรง แต่ยังช่วยให้สุขภาพองค์รวมดีขึ้นอีกด้วย
ความเครียดส่งผลต่อผมร่วงอย่างไร?
- ขัดขวางวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม: ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมาในปริมาณมาก ซึ่งฮอร์โมนนี้จะเข้าไปขัดขวางวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม หรือภาวะผมร่วงชั่วคราว (Telogen Effluvium)
- ลดการไหลเวียนของเลือด: ความเครียดทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหนังศีรษะลดลง ทำให้รากผมได้รับสารอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอ จึงอ่อนแอและหลุดร่วงได้ง่ายขึ้น
- กระตุ้นพฤติกรรมทำร้ายเส้นผม: ความเครียดอาจทำให้บางคนมีพฤติกรรมทำร้ายเส้นผมโดยไม่รู้ตัว เช่น การดึงผม การทึ้งผม การบิดผม หรือการเกาหนังศีรษะ ซึ่งทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้ง่ายขึ้น
6.โรคบางชนิด
สำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคบางชนิดก็สามารถเป็นสาเหตุของปัญหาผมร่วงและผมบางได้ โดยมีกลไกการเกิดที่หลากหลาย ตั้งแต่การขัดขวางวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม ไปจนถึงการทำลายรากผมโดยตรง โดยโรคที่พบบ่อยที่อาจทำให้เกิดผมร่วง ได้แก่:
- โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata): เป็นโรคภูมิตนเองที่ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีรากผม ทำให้ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ อาจเกิดขึ้นที่หนังศีรษะ หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้
- โรคผิวหนังบางชนิด: อาทิ โรคเชื้อราบนหนังศีรษะ โรคสะเก็ดเงิน และโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้
- โรคต่อมไทรอยด์: ทั้งภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) และไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism) สามารถทำให้ผมร่วงได้
- โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก: การขาดธาตุเหล็กทำให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงได้น้อยลง ซึ่งส่งผลต่อการลำเลียงออกซิเจนไปยังรากผม และทำให้ผมร่วงได้ง่ายกว่าปกติ
- โรคเรื้อรังบางชนิด: อาทิ โรคเบาหวาน โรคลูปัส และโรคมะเร็ง อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผมร่วงได้
- การติดเชื้อบางชนิด: อาทิ ไข้หวัดใหญ่ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรง อาจทำให้ผมร่วงชั่วคราวได้
สิ่งสำคัญ:
- ผมร่วงอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิด หากคุณมีปัญหาผมร่วง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม
การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุของผมร่วง มักจะช่วยให้ผมกลับมางอกใหม่ได้ และในหลายกรณีการรักษาโรคเหล่านี้สามารถทำให้ผมกลับมาหนาใหม่ได้โดยที่ไม่ต้องปลูกผมเลยค่ะ
7. ผลกระทบจากยาบางชนิด
ยาบางชนิดสามารถส่งผลข้างเคียงทำให้เกิดปัญหาผมร่วงและผมบางได้ โดยมีกลไกการออกฤทธิ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่การรบกวนวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม ไปจนถึงการทำลายเซลล์รากผม หมอหนึ่งรวบรวมตัวอย่างยาที่อาจทำให้เกิดผมร่วงมาฝากกัน หากคุณจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้ก็ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ที่มีความชำนาญนะคะ
- ยาเคมีบำบัด: ยาที่ใช้ในการรักษามะเร็ง มักมีผลข้างเคียงทำให้ผมร่วงอย่างรุนแรง เนื่องจากยาเหล่านี้ทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็ว ซึ่งรวมถึงเซลล์รากผมด้วย
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด: ยาบางชนิดที่ใช้ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) และเฮปาริน (Heparin)
- ยาลดความดันโลหิต: ยาบางชนิดที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง เช่น เบตาบล็อกเกอร์ (Beta-blockers) และยาขับปัสสาวะ ก็มีส่วนทำให้ผมร่วงได้
- ยารักษาโรคซึมเศร้า: ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า เช่น ยากลุ่ม Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) และยากลุ่ม Tricyclic antidepressants อาจส่งผลให้ผมร่วงได้
- ยาคุมกำเนิด: ยาคุมกำเนิดบางชนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนโปรเจสติน ซึ่งทำให้เกิดปัญหาผมร่วง โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีความไวต่อฮอร์โมนนี้
- วิตามินเอ: การรับประทานวิตามินเอในปริมาณที่สูงเกินไป อาจเป็นพิษต่อร่างกายและทำให้ผมร่วง ผมบาง
- ยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์: ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เช่น Methotrexate และ Leflunomide
สิ่งสำคัญ:
- ผมร่วงจากยา มักจะเป็นภาวะชั่วคราว และผมมักจะกลับมางอกใหม่ได้เองเมื่อหยุดใช้ยา หรือเมื่อร่างกายปรับตัวเข้ากับยาได้
- หากคุณสังเกตว่าผมร่วงหลังจากเริ่มใช้ยาใหม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที อย่าหยุดยาเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนยา หรือปรับลดขนาดยา เพื่อลดผลข้างเคียงต่อเส้นผม
- การดูแลเส้นผมอย่างอ่อนโยน และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็สามารถช่วยลดผลกระทบจากยาต่อเส้นผมได้
ลักษณะอาการของปัญหาผมบาง ผมร่วง
ปัญหาผมบาง ผมร่วง จะเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง แต่ลักษณะอาการในผู้ชายและผู้หญิง อาจจะมีความแตกต่างกัน ทั้งบริเวณที่ผมร่วง ปริมาณผมที่ร่วง รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการหลุดร่วงของเส้นผม หมอหนึ่งได้แยกความแตกต่างระหว่างผมร่วงในผู้ชายและผู้หญิงไว้ให้แล้วค่ะ
ศีรษะล้านแบบผู้ชาย (Male Pattern Baldness)
- เริ่มจากผมบางลงบริเวณขมับและกลางศีรษะ
- ค่อย ๆ ลุกลามเป็นรูปตัว M จนอาจเกิดศีรษะล้านในที่สุด
- มักมีสาเหตุหลักจากพันธุกรรม และฮอร์โมน DHT
ผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata)
- ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ บนหนังศีรษะ หรือบริเวณอื่น ๆ ที่มีขน
- อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
ศีรษะล้านแบบผู้หญิง (Female Pattern Hair Loss)
- ผมบางลงทั่วศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณกลางศีรษะ ทำให้เห็นหนังศีรษะชัดขึ้น
- มักไม่ถึงขั้นศีรษะล้าน
- สาเหตุอาจมาจากพันธุกรรม ฮอร์โมน หรือปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเครียด การขาดสารอาหารบางชนิด
ผมร่วงจาก Telogen Effluvium
- ผมร่วงมากผิดปกติทั่วศีรษะ หลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด เช่น การเจ็บป่วย การผ่าตัด หรือการคลอดบุตร
- มักเป็นภาวะชั่วคราว และผมจะกลับมางอกใหม่ได้เอง
อาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วม:
- คันหรือระคายเคืองที่บริเวณหนังศีรษะ
- มีรังแค
- ผมแห้งเสีย แตกปลาย
- เล็บเปราะ หรือผิดรูป
ผู้ชายและผู้หญิง ใครมีโอกาสเกิดผมบางได้มากกว่ากัน?
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ชายมีโอกาสเกิดผมบางได้มากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมบางจากพันธุกรรม หรือที่เรียกว่า “ศีรษะล้านแบบผู้ชาย” ซึ่งพบได้บ่อยและมีแนวโน้มที่จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมฝั่งมารดา
เหตุผลที่ผู้ชายมีโอกาสเกิดผมบางมากกว่า:
- ฮอร์โมน DHT: ผู้ชายมีระดับฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) สูงกว่าผู้หญิง ซึ่งฮอร์โมนนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดผมบางจากพันธุกรรม
- พันธุกรรม: ยีนที่เกี่ยวข้องกับผมบางจากพันธุกรรมมักแสดงออกในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงก็สามารถประสบปัญหาผมบางได้เช่นกัน แต่รูปแบบการเกิดมักแตกต่างจากผู้ชาย โดยผมมักจะบางลงทั่วศีรษะแทนที่จะเป็นหย่อม ๆ และมักไม่ถึงขั้นศีรษะล้าน
วิธีการป้องกันและรักษาผมบาง
การป้องกันและรักษาผมบางสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม และการรักษาทางการแพทย์ โดยวิธีที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของผมบางและความรุนแรงของอาการ
1. การดูแลเส้นผม
- สระผมด้วยแชมพูอ่อนโยนและน้ำอุ่น หลีกเลี่ยงการสระผมบ่อยเกินไป
- ใช้ครีมนวดผมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการขาดของเส้นผม
- ซับผมให้แห้งเบา ๆ ด้วยผ้าขนหนู หลีกเลี่ยงการขยี้หรือเช็ดแรง ๆ
- หวีผมด้วยหวีซี่ห่างเมื่อผมเปียก และหลีกเลี่ยงการหวีหรือแปรงผมแรง ๆ
- ลดการใช้ความร้อนจากเครื่องเป่าผม เครื่องหนีบผม และเครื่องม้วนผม
- หลีกเลี่ยงการทำเคมีที่รุนแรง เช่น การยืดผม การดัดผม และการทำสีผมบ่อย ๆ
- รัดผมหลวม ๆ และเปลี่ยนทรงผมบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ผมถูกดึงรั้งมากเกินไป
2. การรับประทานอาหารที่ดี:
- โปรตีน: เป็นส่วนประกอบหลักของเส้นผม ช่วยให้ผมแข็งแรงและเติบโตได้ดี พบในเนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว และธัญพืช
- ธาตุเหล็ก: ช่วยในการลำเลียงออกซิเจนไปยังรากผม พบในเนื้อแดง ผักใบเขียวเข้ม และธัญพืช
- สังกะสี: มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์ผมใหม่ และควบคุมการทำงานของต่อมไขมันบนหนังศีรษะ พบในหอยนางรม เนื้อสัตว์ ถั่ว และธัญพืช
- วิตามินบี: โดยเฉพาะไบโอติน (วิตามินบี7) มีส่วนสำคัญในการสร้างเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนหลักในเส้นผม พบในไข่แดง ตับ ถั่ว และอะโวคาโด
- วิตามินซี: ช่วยในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง พบในผลไม้รสเปรี้ยว และผักใบเขียว
- วิตามินเอ: ช่วยในการผลิตน้ำมันธรรมชาติที่ช่วยให้หนังศีรษะชุ่มชื้น พบในแครอท ผักโขม และมันเทศ
- โอเมก้า-3: ช่วยลดการอักเสบ และบำรุงหนังศีรษะให้แข็งแรง พบในปลาที่มีไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน และเมล็ดแฟลกซ์
3. การจัดการความเครียด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เพื่อลดระดับฮอร์โมนความเครียด และกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน หรือ 150 นาทีต่อสัปดาห์
- ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย: อาทิ การทำสมาธิ โยคะ การหายใจลึก ๆ หรือการฟังเพลงผ่อนคลาย ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตให้ดีขึ้น
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและลดความเครียดได้
4. การรักษาและวิธีทางการแพทย์
การรักษาและวิธีทางการแพทย์สำหรับปัญหาผมร่วงและผมบางมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหาและความรุนแรงของอาการ รวมทั้งการวินิจฉัยที่ถูกต้องโดยแพทย์เฉพาะทางด้านเส้นผม เพื่อออกแบบวิธีการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
วิธีการรักษาทางการแพทย์:
- การรักษาด้วยยา:
- ไมนอกซิดิล (Minoxidil): ยาทาที่ช่วยกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผมและชะลอการหลุดร่วง มีทั้งแบบ 2% และ 5% สำหรับผู้ชายและผู้หญิง
- ฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride): ยารับประทานสำหรับผู้ชาย ช่วยยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผมร่วงจากพันธุกรรม
- สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone): ยารับประทานสำหรับผู้หญิง ช่วยลดผลกระทบของฮอร์โมนเพศชายที่มีต่อรากผม
- ยาอื่น ๆ: แพทย์อาจพิจารณาจ่ายยาอื่น ๆ เช่น ยาต้านการอักเสบ ยาปฏิชีวนะในกรณีที่มีอาการเชื้อราที่หนังศีรษะ
- เลเซอร์:
- Low-level laser therapy (LLLT): การใช้แสงเลเซอร์กำลังต่ำช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการงอกใหม่ของเส้นผม
- การรักษาวิธีอื่น ๆ:
- PRP (Platelet-rich plasma): การฉีดพลาสมาที่อุดมด้วยเกล็ดเลือดเข้าสู่หนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม
- Mesotherapy: การฉีดวิตามินและยาเข้าสู่หนังศีรษะ เพื่อบำรุงรากผมและกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม
- การปลูกผม:
- FUT (Follicular Unit Transplantation): การผ่าตัดนำแถบหนังศีรษะที่มีรากผมจากบริเวณท้ายทอยมาปลูกในบริเวณที่ผมบาง
- FUE (Follicular Unit Extraction): การผ่าตัดนำรากผมทีละกอจากบริเวณท้ายทอย มาปลูกในบริเวณที่ผมบาง
ข้อควรพิจารณา:
- ปรึกษาแพทย์: การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุของผมร่วงและประเมินความเหมาะสมของแต่ละวิธี จะช่วยให้รักษาได้ตรงจุดและเห็นผล
- ปลูกผมหรือไม่ปลูกผม: ในประสบการณ์ของหมอหนึ่งที่ได้รักษาอาการผมร่วง ผมบาง จำนวนกว่า 500 เคส พบว่าคนไข้ส่วนใหญ่มีอาการแพ้ หรือ มีผื่นเชื้อราที่หนังศีรษะที่ทำให้เกิดผมร่วง หลังจากรักษาอาการเหล่านี้ให้หายแล้วคนไข้สามารถมีผมกลับมาได้เกือบปกติภายใน 8-10 เดือนโดยที่ไม่ต้องปลูกผม
- ผลลัพธ์และระยะเวลา: การรักษาผมร่วงผมบางทุกชนิดต้องใช้เวลามากกว่า 4-6 เดือนถึงจะเห็นผล แม้กระทั่งการปลูกผมก็ต้องใช้เวลามากกว่า 6 เดือน เพราะเส้นผมเติบโตได้ราว ๆ 0.3 มิลลิเมตรต่อวัน หรือ 1 เซนติเมตรต่อเดือน
การป้องกันปัญหาผมบางในอนาคต
การป้องกันปัญหาผมบางในอนาคต ต้องอาศัยการดูแลสุขภาพโดยรวมและเส้นผมอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดผมร่วงและผมบาง หมอหนึ่งขอแชร์แนวทางป้องกันและทริคการดูแลสุขภาพผมเบื้องต้นให้นะคะ
1. ดูแลเส้นผมอย่างถูกวิธี:
- สระผมอย่างอ่อนโยน: ใช้น้ำอุ่นและแชมพูอ่อนโยน สระผม 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือตามสภาพหนังศีรษะ หลีกเลี่ยงการเกาหรือขยี้หนังศีรษะแรงๆ
- ใช้ครีมนวดผม: ช่วยให้ผมนุ่มลื่นและจัดทรงง่าย ลดการขาดและพันกันของเส้นผม
- ซับผมให้แห้งเบา ๆ: ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำออกจากเส้นผมเบา ๆ หลีกเลี่ยงการขยี้หรือเช็ดแรง ๆ หลีกเลี่ยงการนอนก่อนผมจะแห้งเพราะสามารถทำให้เกิดเชื้อราได้
- หวีผมอย่างระมัดระวัง: ใช้หวีซี่ห่างเมื่อผมเปียก และหวีผมเบา ๆ จากปลายขึ้นไปหาโคนผม
- ลดการใช้ความร้อน: ลดการใช้เครื่องเป่าผม เครื่องหนีบผม และเครื่องม้วนผมให้น้อยลง หากจำเป็นต้องใช้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันความร้อนก่อน
- ทำเคมีให้น้อยลง: เว้นระยะเวลาในการทำสีผม ดัดผม หรือยืดผม และบำรุงเส้นผมอย่างสม่ำเสมอหลังทำเคมี
- รัดผมอย่างถูกวิธี: รัดผมหลวมๆ และเปลี่ยนทรงผมบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการรัดผมแน่นเกินไป หรือรัดผมทรงเดิมซ้ำๆ
2. ดูแลสุขภาพโดยรวม:
- จัดการความเครียด: ความเครียดอาจทำให้ผมร่วงได้ ควรหาเวลาผ่อนคลายและจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับอย่างมีคุณภาพช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ รวมถึงเซลล์รากผม
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหนังศีรษะ และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: สารเหล่านี้มีผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมและสุขภาพเส้นผม
- ตรวจสุขภาพประจำปี: เพื่อตรวจหาและรักษาโรคต่าง ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของผมร่วง
3.. ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเส้นผม:
- หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคผมร่วง หรือสังเกตเห็นความผิดปกติของเส้นผม เช่น ผมร่วงมากผิดปกติ ผมบางลง หรือมีอาการคันหรือรังแค ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับคำแนะนำในการป้องกันหรือรักษา
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับผมบาง
Q : ลดน้ำหนักทำให้ผมร่วง ผมบางจริงไหม?
A :ใช่ค่ะ การลดน้ำหนักอาจทำให้ผมร่วง ผมบางได้จริง แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการลดน้ำหนักที่ผิดวิธีหรือรวดเร็วเกินไป ส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นผมค่ะ หากรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเส้นผมอย่างเพียงพอก็จะช่วยลดปัญหาผมร่วงได้
Q : กินผงชูรสเยอะ ผมขาดร่วง ผมบาง จริงไหม?
A :ไม่จริงค่ะ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าการกินผงชูรสในปริมาณมากจะทำให้ผมขาดร่วงหรือผมบางโดยตรง ความเชื่อนี้เป็นความเข้าใจผิดที่แพร่หลายมานานค่ะ
Q : ทานยาคุม ส่งผลให้ผมบางจริงหรือไม่?
A : จริงในบางกรณี เพราะยาคุมกำเนิดบางชนิด โดยเฉพาะชนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนโปรเจสติน อาจทำให้เกิดผมร่วงหรือผมบางได้ในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีความไวต่อฮอร์โมนนี้หรือมีประวัติครอบครัวที่มีปัญหาผมร่วงค่ะ
Q : รังแคทำให้ผมร่วง ผมบาง หรือไม่?
A : รังแคไม่ได้ทำให้ผมร่วงหรือผมบางโดยตรง แต่เกี่ยวข้องแบบทางอ้อมที่อาจนำไปสู่ปัญหาการอักเสบของหนังศีรษะซึ่งส่งผลให้ผมร่วงได้
Q : ผมบาง ควรรับประทานวิตามินอะไรบ้าง?
A : หมอแนะนำให้ทานสารอาหารจำพวกสังกะสี ไบโอติน และวิตามินดี เพิ่มเติมในแต่ละวันค่ะ
ปัญหาผมบาง ผมร่วง รักษาได้ที่ The One Clinic
The One Clinic คลินิกรักษาปัญหาผิวและเส้นผมย่านห้วยขวาง วินิจฉัยต้นตอของผมบางและทำการรักษาโดยแพทย์ทุกเคส รวมทั้งออกแบบการรักษาและแนะนำโปรแกรมที่เหมาะกับปัญหารายบุคคล โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องปลูกผม ที่สำคัญคือเห็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
สอบถามข้อมูลการรักษาปัญหาผมบาง ผมร่วง หรือ ขอดูเคสรีวิวเพิ่มเติม สามารถติดต่อผ่านทาง Add Line: @theoneclinic (มี@) หรือ โทร. 093-5830921